วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ใครหนอที่ต้องได้รับการสอน....?.

ใครหนอที่ต้องได้รับการสอน....?.
          หากเรานึกถึงเรื่องการเรียนการสอน คงมีมโนภาพ ไปถึงสมัยที่ยังเป็นผู้เรียน เป็นนิสิต นักศึกษา ที่ยังเป็นผู้แสวงหาวิชาความรู้ นั่นคงหมายความว่าทุกท่านจะนึกถึงสถานศึกษา ซึ่งเป็นแหล่งอบรมบ่มสอน ที่มีเยาวชนเป็นผู้เรียน และมีครู อาจารย์ ผู้ซึ่งมากด้วยประสบการณ์ สูงด้วยคุณวุฒิ และมีวัยวุฒิเป็นที่น่าเชื่อถือและน่านับถือ เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ต่างๆ อันเป็นหลักสูตรที่จัดสร้างขึ้นมา เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ จนกระทั่งเมื่อผู้เรียนได้ศึกษาเล่าเรียนจนสำเร็จครบถ้วนตามหลักสูตร ตามระยะเวลาที่กำหนด และผ่านการทดสอบจนมั่นใจว่าเป็นผู้ที่รู้หรือเป็นบัณฑิตแล้วนั้น สามารถที่จะนำวิชาความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดมานั้นไปใช้ประโยชน์อย่างเต็มกำลังความสามารถเมื่อก้าวเข้าสู่สถานประกอบการ ซึ่งการเรียนจะสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้นั้น ผู้เรียนจะต้องมีความรับผิดชอบต่อตนเองอย่างสูง ในความเพียรพยายามใฝ่รู้ ไขว่คว้า แสวงหา ความรู้ต่างๆ ที่ครู อาจารย์ ประสิทธ์ประสาทให้ ตลอดระยะเวลาในการเป็นผู้เรียน ตามโครงสร้างการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นระบบ 7-3-2-4 ในอดีตหรือเป็นระบบ 6-3-3-4 ในปัจจุบัน
7-3-2-4 คือ
                   7 คือ ระดับปฐมศึกษา (ป.1 - ป.7)
                   3 คือ มัธยมศึกษาตอนต้น (ม.ศ.1 - ม.ศ.3) 
                   2 คือ มัธยมศึกษาตอนปลาย  (ม.ศ.4 - ม.ศ.5)
                   4 คือ ปริญญาตรี
6-3-3-4 คือ
                   6 คือ ระดับปฐมศึกษา (ป.1 - ป.6)
                   3 คือ มัธยมศึกษาตอนต้น (ม. 1- ม. 3) 
                   3 คือ มัธยมศึกษาตอนปลาย  (ม. 4 - ม.6)
                   4 คือ ปริญญาตรี
          นี่คือแนวทางของการเรียนการสอนรูปแบบที่เราพอนึกได้ เป็นการเรียน การสอนที่เกิดขึ้นในสถานศึกษาต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วประเทศ
เมื่อได้สำเร็จการศึกษาแล้วส่วนใหญ่ก็มักจะเดินทางเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม โดยมีความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาติดมาด้วยตามการรับได้ของแต่ละบุคล
          เมื่อก้าวเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมในตำแหน่งงานต่างๆ ตามโครงสร้างขององค์การ ตามความรู้และความสามารถของเราที่มีมา เราก็จะได้พบกับการเรียนการสอนอีกครั้ง ที่มีรูปแบบแตกต่างกันไปกับการเรียนการสอนในสถานศึกษา เพราะการเรียนการสอนในสถานประกอบการนี้ ผู้เรียนก็เป็นบุคคลวัยทำงาน ผู้สอนก็เป็นบุคลากรที่ได้รับมอบหมาย หรือมีหน้าที่ในการสอน อาจมีอายุที่มากกว่า หรือน้อยกว่าก็เป็นไปได้ ระยะเวลาที่ใช้สอนก็ค่อนข้างที่จะมีจำกัด ไม่ได้เวลาเป็นปีๆ เหมือนกับการเรียนการสอนในสถานศึกษา บางครั้งการให้ความสำคัญของการเรียนจากผู้เรียนก็มีน้อยเพราะด้วยความที่ผู้เรียนมีหน้าที่และลักษณะงานที่อาจทำให้คิดได้ว่าจะเรียนไปเพื่ออะไรในเรื่องนั้นๆ และหลักสูตรต่างๆ ที่จัดขึ้นก็เป็นการสนองต่อการผลิต การทำงานขององค์กร และประโยชน์ขององค์กรเป็นหลัก
          ในสถานประกอบการต่างๆ มักประสบปัญหาที่คล้ายๆ กัน ที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฝึกอบรม เช่น
                   พนักงานไม่ทำงานตามวิธีการทำงานมาตรฐาน (work instruction)
                   พนักงานผลิตชิ้นงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานการทดสอบ
                   พนักงานทำงานเสียหรือต้องทำซ้ำมากเกินไป
                   มีการเสื่อมหรือชำรุดของเครื่องจักร อุปกรณ์
                   พนักงานทำงานได้ช้า หรือมีการหยุดงานบ่อย
                   พนักงานไม่ใช้อุปกรณ์ด้านความปลอดภัยอย่างถูกต้อง
                   พนักงานขาดความสนใจในงาน
                   พนักงานขาดความระมัดระวังในการทำงาน
                   พนักงานใช้เวลาในการเรียนรู้งานนานเกินไป
                   ฯลฯ
          สิ่งเหล่านี้และอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุมานั้น ล้วนแต่ส่งผลกระทบกับงาน กับผลผลิต และกับหัวหน้างาน ที่ต้องทำให้หัวหน้างานต้องจัดการอะไรบางอย่างกับมัน
          จะจัดการหรือดำเนินการอย่างไร?
          ผู้ที่มีหน้าที่ในการสอนงานในสถานประกอบการนั้น นอกเหนือจากผู้ที่มีหน้าที่การสอนโดยตรงหรือหน่วยงานฝึกอบรมแล้ว เป็นหน้าที่อีกอย่างหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของหัวหน้างาน
          วิธีการสอนงานที่ดีคือ วิธีการที่ทำให้ผู้เรียนหรือผู้ใต้บังคับบัญชา เรียนรู้งานได้อย่างรวดเร็ว และสามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง มีความปลอดภัย และปฏิบัติงานอย่างรอบคอบระมัดระวัง
          ซึ่งถ้าท่านหัวหน้างานทั้งหลายดำเนินการสอนงานให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา อย่างถูกต้องตามวิธีการแล้ว พนักงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนก็จะทำงานได้อย่างถูกต้องตามความต้องการของหัวหน้างาน เพราะความต้องการของหัวหน้างานนั้น “จะต้องสามารถทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานตามที่หัวหน้าต้องการด้วยรูปแบบแนวทางที่หัวหน้าต้องการ ด้วยวิธีการที่หัวหน้าต้องการ ในจำนวนและปริมาณที่หัวหน้าต้องการ ภายในระยะเวลาที่หัวหน้าต้องการ ด้วยความเต็มใจของผู้ใต้บังคับบัญชา”
          เมื่อท่านหัวหน้าได้สอนงานให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี ตามแนวทางและวิธีการที่ดีแล้ว ก็จะสามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้หมดไปได้ หรือบางปัญหาที่อาจมีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆ ก็อาจทำให้ปัญหานั้นเหลือน้อยลงได้ เช่น ปัญหาของเสียในกระบวนการผลิต เป็นต้น
          วิธีการสอนงาน ที่ใช้กันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีอยู่หลากหลายตามแนวทางและวิธีการที่หัวหน้างานถนัด แต่เมื่อลองดูแล้ว วิธีแรกที่หัวหน้างานนิยมใช้อย่างมากในการสอนงานให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา คือ “วิธีการพูดให้ฟังเพียงอย่างเดียว”
          วิธีการสอนงานโดยวิธีการพูดให้ฟังเพียงอย่างเดียว นั้น หากมีการดำเนินการอย่างเหมาะสมอาจเป็นวิธีการที่ดีก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามวิธีการสอนงานโดยการพูดให้ฟังเพียงอย่างเดียวนั้น ยังมีข้อจำกัดอยู่มาก หากท่านหัวหน้าใช้วิธีการนี้เพียงวิธีเดียวอาจทำให้การสอนนั้นสูญเปล่า หรือไม่สัมฤทธิ์ผลก็ได้
          ด้วยเหตุที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเรานั้นส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจหากใช้แค่การฟังเพียงอย่างเดียว เพราะในขณะที่ฟังการอธิบายเรื่องต่างๆ ด้วยคำพูด ใต้บังคับบัญชามักจะคิดไปเองว่าเรื่องราวนั้นซับซ้อน และหัวหน้าที่สามารถใช้คำพูดได้อย่างถูกต้องเหมาะสมนั้นมีน้อยมาก นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีงานอีกมากมายที่ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดได้ การพูดอย่างพอเหมาะ และการที่จะรู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่เราสอนนั้นเข้าใจหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ยาก
          หากหัวหน้าลองพิจารณาดูดีๆ ก็จะพบได้ว่ายังมีเหตุผลต่างๆ อีกมาก ที่ทำให้การพูดให้ฟังเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เหมาะสมกับการสอนงาน
          ในสถานปฏิบัติการหลายๆ แห่ง ทั้งในส่วนของโรงงานและสำนักงานยังมีหัวหน้างานที่ใช้วิธีการสอนงานแบบนี้อยู่ และแน่นอนว่าสถานที่แห่งนั้นก็คงประสบปัญหาต่างๆ ในการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่มาก  จะมีสักกี่คนที่รับการสอนงานด้วยวิธีการพูดให้ฟังเพียงอย่างเดียว จะสามารถเข้าใจได้จริง
          อีกวิธีการหนึ่งที่ท่านหัวหน้างานใช้ในการสอนงานให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาคือ การสอนงานโดย “วิธีการทำให้ดูเพียงอย่างเดียว”
          ในบางครั้งเมื่อหัวหน้างานสอนเสร็จแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาอาจดูเหมือนทำได้ แต่อาจเป็นแค่เพียงการเลียนแบบท่าทางเท่านั้น จึงอาจไม่สามารถกล่าวได้ว่าสามารถทำได้จริง ซึ่งกล่าวกันว่าแค่การเลียนแบบก็ยากแล้ว ดังนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่รู้เลยว่าจะต้องระมัดระวังหรือให้ความสนใจในจุดไหนเป็นพิเศษหรือไม่
          ซึ่งวิธีการสอนงานทั้ง 2 รูปแบบที่กล่าวถึงนี้ อาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่วิธีการสอนงานที่ดี
          วิธีการสอนงานที่ดีนั้นได้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อการผลิตในภาวะสงคราม (War Production) จากสหรัฐอเมริกา ประมาณปี 1944 มีขั้นตอนในการสอนง่ายๆ 4 ขั้นตอน คือ
          ขั้นตอนที่ 1.การเตรียมตัว การคลายความตึงเครียดให้เกิดการผ่อนคลายแล้วแจ้งให้ทราบว่าจะให้ผู้เรียนทำอะไร สอบถามดูว่าเคยทำมาก่อนหรือไม่ รวมถึงการกระตุ้นเพื่อที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการอยากเรียนรู้และการให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
          ขั้นตอนที่ 2. การอธิบาย เป็นการพูดให้ฟัง ทำให้ดูอย่างเป็นขั้นเป็นตอนชัดเจน ในขั้นตอนหลัก จุดสำคัญและเหตุผลของจุดสำคัญนั้นด้วย และมีการสอบถามถึงข้อสงสัยต่างๆด้วย
          ขั้นตอนที่ 3. การฝึกปฏิบัติ เป็นการให้ผู้เรียนได้ทดลองปฏิบัติงานนั้นดูโดยได้รับการดูแลและแก้ไขจากหัวหน้าผู้สอนงานอย่างใกล้ชิดพร้อมทั้งให้บอกถึงขั้นตอนหลัก จุดสำคัญและเหตุผลตามที่หัวหน้าได้บอกไปด้วย ว่าผู้เรียนสามารถจดจำได้อย่างครบถ้วยและสามารถแสดงท่าทางการทำงานได้ถูกต้องดีหรือไม่
          ขั้นตอนที่ 4. การมอบหมายงาน ด้วนเป็นการที่หัวหน้างานสอนให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาในเรื่องงาน เมื่อมั่นใจแล้วก็จำเป็นต้องมอบหมายงาน การเปิดใจให้ถาม และกำหนดผู้ที่จะให้สอบถามได้เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชามีข้อสงสัยขณะที่ทำงานอยู่และไม่พบหัวหน้า อีทั้งแจ้งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้รู้ถึงชจชคะยะเวลาในการมาตรวจของหัวหน้าเรื่อได้เริ่มงานและเมื่อทำงานไปได้จนเก่งแล้ว
          หัวหน้างานเมื่อสอนผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างนี้แล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะสามารถเข้าใจ จดจำสิ่งต่างๆที่ควรระวัง ที่ได้รับการสอนมาจากหัวหน้า นำไปปฏิบัติงานนั้น ได้อย่างถูกต้อง ก็สามารถลด หรือขจัดปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้
          แนวทางและวิธีการนั้น หัวหน้าก็พึงระลึกด้วยว่า ผู้ใต้บังคับบัญชานั้นมาจากภูมิภาค ที่แตกต่างกัน ครอบครัว และความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน มีความรู้สึกนึกคิดที่แตกต่างกัน มีสติปัญญาและความรับได้ที่แตกต่างกัน เพราะรวมๆ แล้วนั้นคือความเป็นปัจเจกของแต่ละคน ที่มีเป็นส่วนเฉพาะติดตัวมาด้วย หัวหน้าต้องมีความยืดหยุ่นและมีความอดทน พยายามในการสอนด้วย
          ผู้ที่จะเป็นผู้ที่ต้องได้รับการสอนเล่าครับ จะเป็นใคร?
          หลายต่อหลายท่านเมื่อได้ฟังคำถามนี้มักจะตอบว่า “คนใหม่”
          ก็คงไม่ผิดแต่ ลองนึกดูดีๆ นะครับว่า เพียง “คนงานใหม่” อย่างเดียวเท่านั้นหรือที่ต้องได้รับการสอนงานจากหัวหน้างาน
          หากองค์กรของท่านไม่มีคนงานใหม่เข้ามาเลย ก็คงเป็นองค์กรที่ไม่มีการสอนงานใช่ไหมครับ?
          “คนที่ทำงานอยู่ในปัจจุบัน” นี่แหลพครับที่ต้องได้รับการสอนเป็นอย่างมาก เพราะ
          1. เมื่อมีการพัฒนาและปรับปรุงลักษณะวิธี กระบวนการทำงาน
          2. เมื่อมีงานเข้ามาใหม่
          3. เมื่อมีการปรับ โยกย้าย ตำแหน่งงาน
          4. เมื่อมีการเปลี่ยนงาน
เหตุการณ์ต่างๆ ดังที่กล่าวมานี้ ท่านหัวหน้าทั้งคงปฏิเสธไม่ได้ ว่าต้องมีการสอนงานกันใช่หรือไม่ และบุคคลดังกล่าวที่ต้องได้รับการสอนก็คงเป็นคนงานที่กำลังทำงานอยู่ในปัจจุบันนี้นั่นเอง
          ฉะนั้นเมื่อจะต้องมีการสอนงานกันเกิดขึ้น หัวหน้างานก็จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนการกำหนดการสอนงานไว้ด้วย ว่าจะต้องมีการสอนงานใคร สอนเรื่องอะไร และจำเป็นจะต้องสอนให้เสร็จสิ้นเมื่อไร
          วิธีการพิจารณาถึงการกำหนดการฝึกอบรม ก็จะต้องพิจารณาจากความจำเป็นทั้ง 3 ด้านด้วยกันคือ
          1. พิจารณาจากการโยกย้ายบุคลากร คือหัวหน้าจะต้องพิจารณาว่า ใครบ้างที่จะต้องมีการเปลี่ยนงาน ใครบ้างที่จะต้องมีการปรับตำแหน่งงาน ใครบ้างที่จะมีการเลื่อนตำแหน่งขึ้น ใครบ้างที่จะต้องมีการหยุดพักเป็นเวลานานบ้าง หรือมีใครหรือไม่ที่จะต้องไปศึกษาดูงานต่างประเทศเป็นเวลานานบ้าง
          2. พิจารณาถึงลักษณะการทำงานที่ไม่ค่อยดีของพนักงาน คือพิจารณาดูว่ามีใครบ้างที่ทำงานแล้วเกิดความผิดพลาดที่ทำให้เกิดความเสียหายกับงานบ้าง พิจารณาดูว่ามีใครบ้างที่ทำงานแล้วเครื่องจักรของตนเองเสียหายบ่อยหรือเกิดการหยุดของเครื่องจักรบ่อย และหัวหน้าต้องพิจารณาดูว่ามีใครบ้างที่ได้รับอุบัติเหตุจากการทำงานบ่อย แม้จะเล็กน้อยก็ตาม
          3. พิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงด้านการผลิต หัวหน้าทั้งหลายจะต้องทราบถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านการผลิตด้วยเพื่อการเตรียมการรองรับด้วยการสอนงานเช่น กรณีงานเร่งด่วนจำนวนมาก การมีงานใหม่เข้ามา เป็นต้น
          จากที่ได้กล่าวมาข้างต้นคราวนี้เมื่อท่านหัวหน้าได้พิจารณาดูแล้วก็จะเห็นได้ว่าการเรียนการสอนในสถานประกอบการนี้มีความสำคัญอย่างมาก และมีต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน แตกต่างจากการเรียนการสอนในสถานศึกษาอย่างมาก และท่านก็คงรับทราบด้วยแล้วเช่นกันว่า ใครบ้างที่จะต้องได้รับการสอนงานจากท่าน



เสกพรสวรรค์  บุญเพ็ชร

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

น้ำเต็มแก้ว


น้ำเต็มแก้ว
เมื่อเรามองไปที่โต๊ะ แล้วเราพบว่ามีแก้วน้ำสวยใส อยู่ 1 ใบ เราจะบอกว่า มีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว หรือ น้ำหายไปครึ่งแก้ว(Full half or Half full) กันดี
มันคงไม่สำคัญหรอกนะว่าจะมีอยู่หรือหายไป (Full half or Half full) แต่ความจริงนั้นในแก้วมีน้ำอยู่เพียงครึ่งแก้ว หากเปรียบแก้วน้ำเหมือนกับการรับรู้ของเรา การที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งของความรู้ที่เรามี แสดงว่าเรายังสามารถเติมน้ำที่เป็นความรู้ ลงไปในแก้วแห่งการรับรู้เราได้อีกอย่างแน่นอน มันก็จะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ ให้กับเจ้าของกล่องแห่งการรับรู้ หรือที่รู้จักกันในนาม “สมอง” การที่เราได้รับข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่แตกต่างจากที่เรารู้แต่เดิม ก็เหมือนเป็นการเติมน้ำลงในแก้ว หรือเติมความรู้ใส่สมอง ย่อมดีมากกว่าเสีย
แล้วถ้าเรารู้สึกว่าความรู้ของเรามีมากกว่าคนอื่นใดในโลกแล้ว ซึ่งเปรียบเสมือนน้ำที่เต็มแก้ว เราย่อมไม่สามารถที่จะรับเอาความรู้ใดใดมาเพิ่มเติมได้ใช่หรือไม่ เพราะว่าถ้าเติมได้น้ำที่มีมันคงยังไม่เต็มแก้ว
ในหลักสูตรเทคนิคการสอนงานนั้นอาจารย์ได้กล่าวถึงการประเมินผู้เรียน มีอยู่ข้อหนึ่งที่ต้องให้ผู้เรียนใช้ความรู้สึกในการประเมินความรู้ที่ได้รับจากการสอนว่าก่อนเรียนรู้เรื่องนี้อย่างไร และเมื่อเรียนจบแล้วมีความรู้เปลี่ยนไปอย่างไร
มีอยู่สองสามคนที่ประเมินตนเองว่าก่อนการเรียนรู้ มีความรู้อยู่แล้ว 10 หลังเรียน ก็มีความรู้ 10 แสดงว่าไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมจากที่เคยรู้มาเลยใช่หรือไม่ ถ้ามองตามตัวหนังสือนี้คงต้องตอบว่าใช่แน่นอน
แต่ในความจริงขณะที่มีการเรียนการสอน นั้น เห็นมีการจดบันทึกสิ่งต่างๆลงไปในสมุดคู่มือมากมาย แล้วความจริงมันคืออะไร
“รู้ลึกจนเหมือนน้ำเต็มแก้ว” หรือ “หลอกตัวเองว่ารู้” กันแน่

เสกพรสวรรค์  บุญเพ็ชร
๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๓

จะพัฒนาบุคลากรไปทำไม?


จะพัฒนาบุคลากรไปทำไม?
สำหรับสถานประกอบการในปัจจุบัน กล่าวกันว่าคนหรือบุคลากรเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด เพราะสามารถเพิ่มมูลค่า(Value) ได้ดีกว่าทรัพยากรอื่นๆ ทั้งหมด และไม่มีสิ้นสุดด้วย
ความต้องการบุคลากรเข้าร่วมงาน สถานประกอบการส่วนมาก ต้องการคนที่เก่งที่สุด และดีที่สุด เท่าที่จะคัดสรรมาได้ (Recruitment)
หากแต่คนต่างๆ ที่ถูกคัดเลือกเข้ามานั้น มีความสามารถเท่าใดยังไม่อาจรู้ได้ เพราะยังไม่ได้แสดงความสามารถในงานจริงๆ ให้ประจักษ์
ต่อเมื่อได้ทำงานนั้นจริงๆ แล้ว ยังไม่ได้ตามที่คาดหวังหรือยังไม่ได้ตามที่ต้องการก็ต้องมีการอบรม แนะนำ สั่งสอน เพื่อให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ ตามที่องค์กรต้องการให้ได้ หรือแม้แต่ได้บุคคลากรที่มีความสามารถเป็นอย่างดีมาแล้วและสร้างผลิตภัณฑ์ได้ตามที่องค์กรต้องการได้ตั้งแต่ต้น ก็ต้องมีการอบรม แนะนำ สั่งสอนเพื่อให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ ได้ดียิ่งขึ้น มากขึ้น รวมไปถึงการวางแผน ทางด้านการใช้ทรัพยากรต่างๆ และการควบคุมการใช้ทรัพยากรและการจัดการได้เพิ่มขึ้น
นั่นคือการพัฒนาบุคลากร
จำเป็นต้องพัฒนาหรือไม่
ตอบว่าจำเป็นมากครับ
แล้วบางองค์กรที่เขาไม่สนใจทางด้านการพัฒนาบุคลากรล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น
มองเห็นได้เป็นรูปธรรมคือ การจัดการจากภาครัฐ ที่มีการกำหนดให้สถานประกอบการที่มีบุคลากรตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป ต้องมีการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยการจัดให้พนักงานได้รับการอบรม อย่างน้อยคนละ 1 หลักสูตรไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง และไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานทั้งหมด หากดำเนินการไม่ครบ50 เปอร์เซ็นต์ ต้องจ่ายเงินเข้าสมทบกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ในอัตราร้อยละ 1 ของจำนวนที่ขาด
เป็นการบังคับให้สถานประกอบการต้องจัดอบรมให้กับพนักงานเพื่อเพิ่มความรู้ ความสามารถแก่พนักงาน
บางสถานประกอบการ ยอมจ่าย ไม่ทำ จะเกิดอะไร
ไม่อยากเสียบุคลากร 80 คนต่อวันในการอบรม(จุดที่มากที่สุด) เพราะต้องการผลิตสินค้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (War production) เพื่อผลประโยชน์ของสถานประกอบการ
          ลองมาดูการซื้อเครื่องจักรมาเพื่อการใช้ประโยชน์
          หลังจากการติดตั้งเครื่องจักรสามารถทำงานได้ประสิทธิภาพสูงสุดตามลักษณะของเครื่องจักรนั้นๆ เมื่อระยะเวลาผ่านไป ตามภาพประมาณปีที่ 3 ประสิทธิภาพของเครื่องจักรเริ่มตกลง เรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง เมื่อเรามีการบำรุงรักษา เครื่องจักรก็จะมีประสิทธิภาพดังเดิม หากแต่ ถ้าเราดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (KAIZEN และ TPM) ประสิทธิภาพของเครื่องจักรสามารถที่จะเพิ่มขึ้นจากเดิมได้
         
เหมือนคน ที่ว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่า หากไม่ได้รับการพัฒนา ค่าที่มีก็จะด้อยลง เพราะจะขาดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง อยู่ไปวันวัน ทำงานซ้ำๆ เดิมๆ เหมือนเครื่องจักร ความกระตือรือร้นก็จะน้อยลง ความเบื่อหน่ายก็เกิดขึ้น อาจส่งผลถึงผลิตภัณฑ์ ระหว่างการผลิตอาจมีข้อบกพร่องมากขึ้น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ส่งผลถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นไปกดตัวกำไรให้ลดลง และถ้าวันหนึ่งวันใด ต้นทุนสูงกว่าราคาขาย ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นอย่างมหาศาล
มันจึงเทียบไม่ได้กับการเสียบุคลากรไป 80 คน เพียงหนึ่งวัน แล้วไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้น แต่ตรงกันข้าม กลับทำให้มีการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ การพัฒนาในกระบวนการ ให้มีการดำเนินการที่ดีกว่า ง่ายกว่า ปลอดภัยกว่า และทำได้มากกว่า นอกจากจะเป็นการเพิ่มให้ในสิ่งที่ขาด ฝึกการใช้สมอง ให้สมองได้รับการพัฒนาทางความคิด สิ่งดีๆ มันก็จะตามมาสมกับคำที่ว่า คนหรือบุคลากรคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด

มีการกล่าวกันว่าคนเรามีการพัฒนาการเรียนรู้ด้วยตนเองอยู่แล้ว ที่เรียกว่าทักษะหรือความชำนาญ เกิดจากการที่ได้ทำซ้ำๆ บ่อยๆ ทักษะก็เกิดขึ้นได้ 
แต่ถ้ามีการพัฒนาด้วยการฝึกอบรมในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ความสามารถของบุคคลากรก็จะมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นในระยะเวลาอันสั้นกว่าปกติ
จึงเห็นได้ว่าการพัฒนาบุคลากรมีความสำคัญต่อองค์การเป็นอย่างมาก เพราะบุคลากรสามารถพัฒนาเพิ่มมูลค่าได้ง่ายและดีกว่าทรัพยากรประเภทอื่นๆ นั่นเอง