วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

น้ำเต็มแก้ว


น้ำเต็มแก้ว
เมื่อเรามองไปที่โต๊ะ แล้วเราพบว่ามีแก้วน้ำสวยใส อยู่ 1 ใบ เราจะบอกว่า มีน้ำอยู่ครึ่งแก้ว หรือ น้ำหายไปครึ่งแก้ว(Full half or Half full) กันดี
มันคงไม่สำคัญหรอกนะว่าจะมีอยู่หรือหายไป (Full half or Half full) แต่ความจริงนั้นในแก้วมีน้ำอยู่เพียงครึ่งแก้ว หากเปรียบแก้วน้ำเหมือนกับการรับรู้ของเรา การที่มีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่งของความรู้ที่เรามี แสดงว่าเรายังสามารถเติมน้ำที่เป็นความรู้ ลงไปในแก้วแห่งการรับรู้เราได้อีกอย่างแน่นอน มันก็จะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ ให้กับเจ้าของกล่องแห่งการรับรู้ หรือที่รู้จักกันในนาม “สมอง” การที่เราได้รับข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่แตกต่างจากที่เรารู้แต่เดิม ก็เหมือนเป็นการเติมน้ำลงในแก้ว หรือเติมความรู้ใส่สมอง ย่อมดีมากกว่าเสีย
แล้วถ้าเรารู้สึกว่าความรู้ของเรามีมากกว่าคนอื่นใดในโลกแล้ว ซึ่งเปรียบเสมือนน้ำที่เต็มแก้ว เราย่อมไม่สามารถที่จะรับเอาความรู้ใดใดมาเพิ่มเติมได้ใช่หรือไม่ เพราะว่าถ้าเติมได้น้ำที่มีมันคงยังไม่เต็มแก้ว
ในหลักสูตรเทคนิคการสอนงานนั้นอาจารย์ได้กล่าวถึงการประเมินผู้เรียน มีอยู่ข้อหนึ่งที่ต้องให้ผู้เรียนใช้ความรู้สึกในการประเมินความรู้ที่ได้รับจากการสอนว่าก่อนเรียนรู้เรื่องนี้อย่างไร และเมื่อเรียนจบแล้วมีความรู้เปลี่ยนไปอย่างไร
มีอยู่สองสามคนที่ประเมินตนเองว่าก่อนการเรียนรู้ มีความรู้อยู่แล้ว 10 หลังเรียน ก็มีความรู้ 10 แสดงว่าไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมจากที่เคยรู้มาเลยใช่หรือไม่ ถ้ามองตามตัวหนังสือนี้คงต้องตอบว่าใช่แน่นอน
แต่ในความจริงขณะที่มีการเรียนการสอน นั้น เห็นมีการจดบันทึกสิ่งต่างๆลงไปในสมุดคู่มือมากมาย แล้วความจริงมันคืออะไร
“รู้ลึกจนเหมือนน้ำเต็มแก้ว” หรือ “หลอกตัวเองว่ารู้” กันแน่

เสกพรสวรรค์  บุญเพ็ชร
๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๓

จะพัฒนาบุคลากรไปทำไม?


จะพัฒนาบุคลากรไปทำไม?
สำหรับสถานประกอบการในปัจจุบัน กล่าวกันว่าคนหรือบุคลากรเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด เพราะสามารถเพิ่มมูลค่า(Value) ได้ดีกว่าทรัพยากรอื่นๆ ทั้งหมด และไม่มีสิ้นสุดด้วย
ความต้องการบุคลากรเข้าร่วมงาน สถานประกอบการส่วนมาก ต้องการคนที่เก่งที่สุด และดีที่สุด เท่าที่จะคัดสรรมาได้ (Recruitment)
หากแต่คนต่างๆ ที่ถูกคัดเลือกเข้ามานั้น มีความสามารถเท่าใดยังไม่อาจรู้ได้ เพราะยังไม่ได้แสดงความสามารถในงานจริงๆ ให้ประจักษ์
ต่อเมื่อได้ทำงานนั้นจริงๆ แล้ว ยังไม่ได้ตามที่คาดหวังหรือยังไม่ได้ตามที่ต้องการก็ต้องมีการอบรม แนะนำ สั่งสอน เพื่อให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ ตามที่องค์กรต้องการให้ได้ หรือแม้แต่ได้บุคคลากรที่มีความสามารถเป็นอย่างดีมาแล้วและสร้างผลิตภัณฑ์ได้ตามที่องค์กรต้องการได้ตั้งแต่ต้น ก็ต้องมีการอบรม แนะนำ สั่งสอนเพื่อให้สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ ได้ดียิ่งขึ้น มากขึ้น รวมไปถึงการวางแผน ทางด้านการใช้ทรัพยากรต่างๆ และการควบคุมการใช้ทรัพยากรและการจัดการได้เพิ่มขึ้น
นั่นคือการพัฒนาบุคลากร
จำเป็นต้องพัฒนาหรือไม่
ตอบว่าจำเป็นมากครับ
แล้วบางองค์กรที่เขาไม่สนใจทางด้านการพัฒนาบุคลากรล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น
มองเห็นได้เป็นรูปธรรมคือ การจัดการจากภาครัฐ ที่มีการกำหนดให้สถานประกอบการที่มีบุคลากรตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป ต้องมีการพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยการจัดให้พนักงานได้รับการอบรม อย่างน้อยคนละ 1 หลักสูตรไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง และไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของพนักงานทั้งหมด หากดำเนินการไม่ครบ50 เปอร์เซ็นต์ ต้องจ่ายเงินเข้าสมทบกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน ในอัตราร้อยละ 1 ของจำนวนที่ขาด
เป็นการบังคับให้สถานประกอบการต้องจัดอบรมให้กับพนักงานเพื่อเพิ่มความรู้ ความสามารถแก่พนักงาน
บางสถานประกอบการ ยอมจ่าย ไม่ทำ จะเกิดอะไร
ไม่อยากเสียบุคลากร 80 คนต่อวันในการอบรม(จุดที่มากที่สุด) เพราะต้องการผลิตสินค้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (War production) เพื่อผลประโยชน์ของสถานประกอบการ
          ลองมาดูการซื้อเครื่องจักรมาเพื่อการใช้ประโยชน์
          หลังจากการติดตั้งเครื่องจักรสามารถทำงานได้ประสิทธิภาพสูงสุดตามลักษณะของเครื่องจักรนั้นๆ เมื่อระยะเวลาผ่านไป ตามภาพประมาณปีที่ 3 ประสิทธิภาพของเครื่องจักรเริ่มตกลง เรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง เมื่อเรามีการบำรุงรักษา เครื่องจักรก็จะมีประสิทธิภาพดังเดิม หากแต่ ถ้าเราดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (KAIZEN และ TPM) ประสิทธิภาพของเครื่องจักรสามารถที่จะเพิ่มขึ้นจากเดิมได้
         
เหมือนคน ที่ว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่า หากไม่ได้รับการพัฒนา ค่าที่มีก็จะด้อยลง เพราะจะขาดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง อยู่ไปวันวัน ทำงานซ้ำๆ เดิมๆ เหมือนเครื่องจักร ความกระตือรือร้นก็จะน้อยลง ความเบื่อหน่ายก็เกิดขึ้น อาจส่งผลถึงผลิตภัณฑ์ ระหว่างการผลิตอาจมีข้อบกพร่องมากขึ้น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้ส่งผลถึงต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นไปกดตัวกำไรให้ลดลง และถ้าวันหนึ่งวันใด ต้นทุนสูงกว่าราคาขาย ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นอย่างมหาศาล
มันจึงเทียบไม่ได้กับการเสียบุคลากรไป 80 คน เพียงหนึ่งวัน แล้วไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้น แต่ตรงกันข้าม กลับทำให้มีการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆ การพัฒนาในกระบวนการ ให้มีการดำเนินการที่ดีกว่า ง่ายกว่า ปลอดภัยกว่า และทำได้มากกว่า นอกจากจะเป็นการเพิ่มให้ในสิ่งที่ขาด ฝึกการใช้สมอง ให้สมองได้รับการพัฒนาทางความคิด สิ่งดีๆ มันก็จะตามมาสมกับคำที่ว่า คนหรือบุคลากรคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุด

มีการกล่าวกันว่าคนเรามีการพัฒนาการเรียนรู้ด้วยตนเองอยู่แล้ว ที่เรียกว่าทักษะหรือความชำนาญ เกิดจากการที่ได้ทำซ้ำๆ บ่อยๆ ทักษะก็เกิดขึ้นได้ 
แต่ถ้ามีการพัฒนาด้วยการฝึกอบรมในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ความสามารถของบุคคลากรก็จะมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นในระยะเวลาอันสั้นกว่าปกติ
จึงเห็นได้ว่าการพัฒนาบุคลากรมีความสำคัญต่อองค์การเป็นอย่างมาก เพราะบุคลากรสามารถพัฒนาเพิ่มมูลค่าได้ง่ายและดีกว่าทรัพยากรประเภทอื่นๆ นั่นเอง